Page 2 - สารศูนย์วิทย์เดือนสิงหาคม2564
P. 2

2



          หินดวงจันทร์ที่เก็บจากยุค Apollo ไขปริศนาการกำ เนิดดวงจันทร์อย่างไร


                                         รู้จักทฤษฎี Giant-impact


               เป็นที่ทราบกันดีว่าตลอดช่วงปี  1969  ถึง  1972  โครงการอะพอลโลได้ประสบความสำาเร็จอย่างมากในการส่งมนุษยชาติทั้ง  12  คนขึ้นไป
        เหยียบบนพื้นผิวดวงจันทร์พร้อมทั้งทำาการทดลองต่าง  ๆ  มากมายบนดวงจันทร์  ไม่ว่าจะเป็นการวางอุปกรณ์  Retroreflector  ที่สามารถสะท้อนแสง
        เลเซอร์ที่ยิงจากบนโลกได้เพื่อวัดระยะห่างระหว่างโลกกับดวงจันทร์อย่างแม่นยำา  หรือแม้แต่การเก็บดวงอย่างหินดวงจันทร์กลับมาที่โลกตั้งแต่ภารกิจอะ
        พอลโล 11 จนไปถึง 7 ซึ่งมีน้ำารวมกว่า 190 กิโลกรัม
               และเมื่อตัวอย่างหินดวงจันทร์เดินทางมาถึงห้องทดลองอย่างปลอดภัย  สิ่งแรกที่นักวิทยาศาสตร์พยายามค้นหาก็คืออายุของดวงจันทร์จากการ
        ตรวจสอบครึ่งชีวิตการสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสีอย่าง ยูเรเนียม จนเราสามารถระบุอายุของดวงจันทร์ได้ค่อนข้างแม่นยำาว่าดวงจันทร์ถือกำาเนิดขึ้น
        เมื่อราว 4,510 ล้านปีก่อน หรือ 60 ล้านปีหลังจากการกำาเนิดระบบสุริยะ ซึ่งถือว่าดวงจันทร์เก่าแก่กว่าที่นักดาราศาสตร์ในยุคก่อนหน้าตั้งสมมติฐาน
        ไว้อยู่มาก แต่สิ่งที่ทำาให้วงการดาราศาสตร์ตื่นตะลึงจริง ๆ แล้วคือการค้นพบว่า ธาตุไอโซโทปของออกซิเจนที่จับตัวอยู่บนหินของดวงจันทร์มีลักษณะ
        เหมือนกับโลกเกือบทุกประการ ซึ่งเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าดวงจันทร์ถือกำาเนิดอยู่ในแถบวงโคจรที่ใกล้เคียงกับโลก
               และที่สำาคัญที่สุดคือในตัวอย่างหินดวงจันทร์ที่นำากลับมาแทบทั้งหมดกลับไม่มีธาตุประเภทสารระเหยง่าย (Volatile elements) อย่างเช่น
        คาร์บอนไดออกไซค์ และ มีเทน เลยแม้แต่น้อย ซึ่งมีความเป็นไปได้มากที่ดวงจันทร์จะสูญเสียธาตุเหล่านี้ไปจากเหตุการณ์ที่มีพลังงานมหาศาล
        จนในที่สุดก็กระจายหายไปในอวกาศไปเนื่องจากสนามโน้มถ่วงต่ำาของดวงจันทร์ไม่สามารถรั้งธาตุสารระเหยง่าย (Volatile elements) เอาไว้ได้
               โดยหลังจากที่ผลการตรวจสอบหินดวงจันทร์ได้รับการเผยแพร่เป็นวงกว้างในทศวรรษที่  1970  ก็ได้มีนักวิจัยกลุ่มหนึ่งเสนอสมมติฐานขึ้นมา
        ท่ามกลางงานวิจับนับร้อยว่า  ดวงจันทร์กำาเนิดมาจากการชนครั้งใหญ่ระหว่างโลกกับดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่มีขนาดเท่าดาวอังคาร  เมื่อครั้งที่ระบบ
        สุริยะพึ่งถือกำาเนิดใหม่ ๆ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่หลุดโลกไม่น้อยแต่เมื่อทฤษฎีนี้ได้รับการตรวจสอบและหาหลักฐานที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม กลับกลายเป็นว่า
        มีผู้ที่สนับสนุนและยอมรับทฤษฎีนี้อย่างกว้างขวางในช่วงทศวรรษที่ 1980 จนถึงปัจจุบัน ในบทความเราจะพาไปลงลึกสำารวจประวัติศาสตร์ของดวงจันทร์
        ผ่านสมมติฐานการชนครั้งใหญ่หรือ Giant Impact Hypothesis ไปด้วยกัน
        กำ�เนิดดวงจันทร์

               อ้างอิงจากหลักฐานที่กล่าวไปข้างต้น  และการจำาลองโมเดลในคอมพิวเตอร์ตามสมตติฐานการชนครั้งใหญ่ได้เสนอไว้ว่า  เรื่องราวของดวงจันทร์
        เริ่มต้นเมื่อราว 4,400 ถึง 4,500 ล้านปีก่อน ในช่วงที่ดวงอาทิตย์พึ่งถือกำาเนิดขึ้นมาใหม่ ซึ่งได้ส่งผลให้วัตถุจำานวนหลายล้านชิ้นต่างโคจรรอบดาวฤกษ์
        จนเกิดเป็นจานพอกพูนมวล จนกระทั่งเศษวัตถุน้อยใหญ่ที่มีขนาดตั้งแต่รถยนต์จนไปถึงภูเขาก็ได้รวมตัวก่อกำาเนิดขึ้นมาเป็นดาวเคราะห์ต่าง ๆ  ซึ่งโลก
                                                           ก็เป็นหนึ่งในนั้น การกำาเนิดดาวเคราะห์ จึงไม่ได้เป็นอะไรไปเสียมากกว่าการ
                                                           รวมกันของก้อนหินที่กินเวลาหลายปีด้วยอิทธิพลของความโน้มถ่วง ซึ่งใน
                                                           ขณะนั้นโลกเป็นเพียงดาวเคราะห์เกิดใหม่ (Protoplanet) หนึ่งในหลายสิบดวง
                                                           ที่โคจรรอบดวงอาทิตย์  โดยที่เราสามารถสังเกตปรากฎการณ์นี้กับดวงดาว
                                                           ระบบอื่นได้เช่นกัน
                                                           แต่อย่างไรก็ตาม  การเกิดดาวเคราะห์ขึ้นมาหลายสิบดวงนั้นก็ย่อมส่งผลต่อ
                                                           วงโคจรที่ไม่เสถียร  ซึ่งตอนนั้นระบบสุริยะของเราก็ไม่ได้ต่างจากสนามแข่ง
                                                           รถฟอร์มูล่าวันมากนัก  ที่ดาวเคราะห์ต่าง  ๆ  ต่างมีวิถีโคจรทับซ้อนซึ่งกัน
                                                           และกันจนกว่าวงโคจรของดาวเคราะห์จะปรับตัวให้สมดุลเหมือนอย่างใน
                                                           ปัจจุบัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เมื่อ 4,500 ล้านปีก่อนจะมีดาวเคราะห์บางส่วน
        ภาพจำาลองการชนกันระหว่างโลกกับดาวเคราะห์ Theia ในสมมติฐาน Giant Impact Hyphothesis   ที่ถูกผลักเข้าหาดวงอาทิตย์   ไม่ก็ถูกดีดออกไปนอกระบบสุริยะกลายเป็น
        ที่มา Dana Berry/SwRI
                                                           ดาวเคราะห์กำาพร้า  (Rogue  Planet)  ท่ามกลางอวกาศระหว่างดวงดาว
        (Interstellar Space) หรือแม้แต่ดาวเคราะแก๊สยักษ์อย่างดาวพฤหัสฯ ก็อาจจะเคยเปลี่ยนวงโคจรไปมาในอดีตเช่นกัน
               ท่ามกลางระบบสุริยะที่กำาลังตกอยู๋ในความโกลาหล  ดาวเคราะห์โลกก็ได้เติบใหญ่ขึ้นมาจนมีขนาดและมวลใกล้เคียงในปัจจุบัน  แต่สภาพ
        บนพื้นผิวนั้นห่างไกลจากคำาว่าดาวเคราะห์สีน้ำาเงินที่เรารู้จักเสียเหลือเกิน  เพราะความร้อนที่เกิดจากการก่อตัวของโลกจากเศษดาวเคราะห์น้อย
        นับล้านดวงนั้น ได้ทำาให้สภาพโลกทั้งไปเต็มไปด้วยมหาสมุทรหินหลอมละลาย ไม่มีทวีปหรือภูเขาใด ๆ ชั้นบรรยาศก็เต็มไปด้วยไอร้อนจากทะเลเพลิง
        อาจจะเรียกว่าทิวทัศน์ของโลกก็ไม่ต่างจากนรกเท่าใดนัก
               และในขณะนั้นเองดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่นักดาราศาสตร์ตั้งชื่อว่า Theia (ธีอา)
        อันเป็นดาวเคราะห์ที่มีขนาดเท่าดาวอังคารและมีมวลอยู่ที่ร้อยละ 10 ของโลก ดันมีวิถีโคจร
        ซ้อนทับกับโลก  ซึ่งดาวเคราะห์ผู้บุกรุก  ดวงนี้เองก็ได้เริ่มพุ่งเข้ามาหาโลกในวัยเยาว์
        ด้วยความเร็ว 15 กิโลเมตรต่อวินาที เร็วกว่ากระสุนปืนเกือบ 20 เท่า หากเรายืนอยู่บน
        พื้นผิวดาวเคราะห์โลกในตอนนั้นในตอนแรกเราจะเห็น Theia เป็นเพียงดาวสีแดงจุดเล็ก ๆ
        ก่อนที่จะเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ อย่างน่ากลัวบนท้องฟ้า และในที่สุดพื้นผิวของดาวทั้งสอง
        ก็สัมผัสกันที่มุมเฉียงประมาณ 45 องศา                            ภาพถ่ายจานพอกพูนมวลที่ประกอบด้วยเศษหินน้อยใหญ่ที่โคจรรอบดาวฤกษ์เกิดใหม่
                                                                               นอกเหนือจากดวงอาทิตย์ในทางช้างเผือก ที่มา ALMA
   1   2   3