Page 2 - สารศูนย์วิทย์เดือนมกราคม 2564
P. 2

2


                                                            เป็นที่ทราบกันว่าดาวเคราะห์แคระ  “พลูโต” ประกอบด้วยดวงจันทร์
                                                       ทั้งหมด  5 ดวง ได้แก่ ดวงจันทร์แครอน (Charon) ซึ่งเป็นดวงจันทร์ที่มี
                                                       ขนาดใหญ่สุดของพลูโต และดวงจันทร์ขนาดเล็กอีก 4 ดวง ได้แก่ ดวงจันทร์
                                                       ไฮดรา (Hydra) นิกซ์ (Nix) เคอร์เบอรอส (Kerberos) และสติกซ์ (Styx)
                                                       ผลจากการศึกษาที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าระบบดวงจันทร์ของ
                                                       พลูโตเกิดจากวัตถุขนาดใหญ่พุ่งชนพลูโตแล้วหลุดกระเด็นออกมาเป็น
                                                       ดาวบริวารทั้ง 5 ดวง
                                                            ล่าสุด ผลการศึกษาวิจัยที่ตีพิมพ์ลงวารสาร Astronomical Journal
                                                       นำาโดย Benjamin Bromley นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งยูทาห์
                                                       และ Scott Kenyon จากศูนย์ฟิสิกส์ดาราศาสตร์ฮาร์วาร์ดและสมิธโซเนียน
                                                       ชี้ให้เห็นว่า  ดวงจันทร์ขนาดเล็กทั้ง  4  ดวง  ได้แก่  ดวงจันทร์ไฮดรา
                                                       (Hydra)  นิกซ์  (Nix)  เคอร์เบอรอส  (Kerberos)  และสติกซ์  (Styx)
                                                       ไม่ได้ก่อกำาเนิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันกับดวงจันทร์แครอน  (Charon)
                                                       แต่เกิดจากการชนของดาวเคราะห์แคระอีกครั้งภายหลัง


               ดวงจันทร์แครอน (Charon) ถูกค้นพบในปี พ.ศ. 2521 จากการศึกษาพบว่าแครอนเป็นดวงจันทร์ที่มีขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบ
        กับดาวดวงแม่ จนจุดศูนย์กลางมวล (center of mass) ของระบบดาวเคราะห์แคระพลูโต-แครอนไม่ได้อยู่ในดาวดวงใดดวงหนึ่ง ทำาให้
        บางครั้งดาวเคราะห์แคระพลูโตและดวงจันทร์แครอนถูกจัดเป็นระบบดาวคู่  (binary  system)  ก่อนที่นักวิทยาศาสตร์จะใช้ข้อมูลภาพ
        จากกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลค้นพบดวงจันทร์ขนาดเล็กที่เหลืออีก 4 ดวง ในปี พ.ศ. 2548 และ 2554 ทำาให้นักวิทยาศาสตร์ในช่วง
        เวลานั้นเชื่อว่า ดาวบริวารของพลูโตอาจเกิดจากการชนกันระหว่างวัตถุในแถบไคเปอร์ (Kuiper Belt) กับพลูโตเองเมื่อราว 1,000 ล้านปี
        ที่แล้ว ทำาให้เศษซากที่เกิดจากการชนบางส่วนนั้นตกกลับไปยังดาวเคราะห์แคระพลูโต ในขณะที่ส่วนที่เหลืออื่น ๆ ลอยกระจัดกระจาย
        เป็นบริวารของพลูโต ปัจจุบัน นักดาราศาสตร์ยังมีข้อถกเถียงหลายอย่างเกี่ยวกับการถือกำาเนิดของดวงจันทร์ขนาดเล็กเหล่านั้น
               ปัญหาหนึ่งที่ถกเถียงกันคือ หากดวงจันทร์ขนาดเล็กทั้ง 4 ดวง กำาเนิดขึ้นมาในช่วงเวลาเดียวกันกับพลูโต และดวงจันทร์
        แครอนที่เกิดจากการชนของดาวเคราะห์แคระ จนทำาให้เศษซากที่เกิดจากการชนบางส่วนตกกลับไปยังพลูโต ในขณะที่ส่วนอื่น ๆ ที่เหลือ
        ลอยกระจัดกระจายเป็นบริวาร เหตุใดดวงจันทร์ทั้ง 4 ถึงหลุดพ้นแรงดึงดูดในช่วงแรกของการเกิด แล้วกลายไปเป็นดวงจันทร์
        ขนาดเล็กนี้ได้  เศษซากจากการชนดังกล่าวควรกำาเนิดขึ้นเป็นเพียงดวงจันทร์แครอนเท่านั้น  Bromley นักวิทยาศาสตร์ผู้ร่วมวิจัย
        กล่าวถึงปัญหานี้ว่า การชนที่รุนแรงในช่วงเวลานั้นค่อย ๆ ผลักให้เศษซากออกไปยังบริเวณภายนอกแล้วก่อตัวขึ้นเป็นดวงจันทร์
        ขนาดเล็กที่มีวงโคจรอยู่ ดังนั้น Kenyon และ Bromley จึงวางแผนที่จะศึกษาระบบดวงจันทร์ของพลูโตใหม่ ตั้งสมมติฐานว่า ดวงจันทร์
        ขนาดเล็กอาจเกิดจากการพุ่งเข้าชนของดาวเคราะห์แคระในภายหลัง  และคาดการณ์ว่าวัตถุที่พุ่งชนอาจมีมวลไม่ต่ำากว่าหนึ่งล้านล้าน
        กิโลกรัม (เป็นมวลที่น้อยกว่าดาวเคราะห์แคระพลูโตและดวงจันทร์แครอนประมาณ 1,000 เท่า) จึงจะสามารถส่งผลให้เกิดเศษซาก
        หลุดกลายเป็นดวงจันทร์ขนาดเล็กเหล่านั้นได้  สมมติฐานนี้น่าจะเป็นคำาอธิบายที่ดีที่สุดสำาหรับรูปแบบการเกิดของดวงจันทร์
        ทั้ง 4 ดวงของดาวเคราะห์แคระพลูโต
               จากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่า  แม้ว่าขนาดและมวลของดาวเคราะห์แคระพลูโตกับดวงจันทร์แครอนมีค่าใกล้เคียงกันมาก
        แต่ความจริงแล้ว  ทั้งสองมีลักษณะทางกายภาพต่างกันอย่างสิ้นเชิง  หลังจากนักวิทยาศาสตร์ได้รับข้อมูลจากยานนิวฮอไรซันส์  ที่สำารวจ
        ระบบดาวพลูโตในระยะใกล้เมื่อปี พ.ศ. 2558 ที่ผ่านมา เผยให้เห็นถึงลักษณะทางกายภาพของพื้นผิวของดาวเคราะห์แคระพลูโต
        ที่ปกคลุมไปด้วยน้ำาแข็งของมีเทน (มีเทนเยือกแข็ง) ขณะที่พื้นผิวดวงจันทร์แครอนส่วนมากเป็นหินและมีน้ำาแข็งเล็กน้อย บางส่วน
        บนดาวเคราะห์แคระพลูโตมีหลุมอุกกาบาตเพียงเล็กน้อยเท่านั้น บ่งชี้ว่าพื้นผิวของมันยังคงวิวัฒนาการต่อไปอีกนาน จนทำาให้พื้นผิว
        ส่วนใหญ่ค่อนข้างราบเรียบ  ในทางกลับกันดวงจันทร์แครอนยังมีภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยหลุมอุกกาบาตซึ่งน่าจะมีอายุใกล้เคียง
        กับระบบสุริยะ นอกจากนี้ ยานนิวฮอไรซันส์ยังพบการสะท้อนแสงจากดวงจันทร์ขนาดเล็กทั้ง 4 ดวง เผยให้เห็นถึงการหมุนรอบตัวเอง
        อย่างรวดเร็วและแนวการวางตัวในอวกาศที่ผิดปกติ
               อีกสมมติฐานหนึ่งของการกำาเนิดดวงจันทร์ขนาดเล็ก คือ  อาจเกิดจากวัตถุขนาดใหญ่ 50 กิโลเมตร พุ่งชนดวงจันทร์แครอนโดยตรง
        จนทำาให้เศษซากกระเด็นออกไปยังวงโคจรรอบพลูโตและแครอนได้  ซึ่ง Kenyon และ Bromley พบหลักฐานที่มีความเป็นไปได้ว่า
        หลุมอุกกาบาตบนพื้นผิวของดวงจันทร์แครอนที่ชื่อว่า Dorothy Crater ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 240 กิโลเมตร อาจเป็นร่องรอย
        ที่เกิดจากการพุ่งชนดังกล่าว  ทั้งนี้  การทำาความเข้าใจถึงต้นกำาเนิดของวัตถุต่าง  ๆ  ในระบบสุริยะ  เป็นเรื่องค่อนข้างซับซ้อน
        เพราะวัตถุดังกล่าวอาจกำาเนิดขึ้นมาตั้งแต่ 4.5 พันล้านปีที่แล้ว ผลของการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ตามกาลเวลา อาจทำาให้หลักฐาน
        ที่บ่งชี้ถึงเหตุการณ์ในอดีตนั้นจากหายไปหรืออาจทำาให้ผลการวิจัยได้ข้อสรุปที่คลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงมาก ดังนั้น นักวิทยาศาสตร์
        ต้องอาศัยการวิจัยและพัฒนาเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์เพื่อค้นคว้าหาคำาตอบต่อไป เพื่อรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ที่อาจเป็นหลักฐาน
        ของการกำาเนิดดวงจันทร์ในอดีตของดาวเคราะห์แคระพลูโตได้

                                           ที่มา: https://www.facebook.com/NARITpage
   1   2   3